สานพลังสู่ธนาคารอาหารแห่งชาติ : เวทีขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนบริจาคอาหารส่วนเกิน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จัด “ประชุมกลุ่มย่อยผู้ประกอบการอาหารด้านมาตรการส่งเสริมการบริจาคอาหารส่วนเกิน (Food surplus) ของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศ (Thailand’s Food Bank)” เป็นเวทีนำเสนอมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการบริจาคอาหาร ให้แก่ผู้ประกอบการที่ผลิตอาหารและที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมบริจาคอาหารส่วนเกินให้กับโครงการ ทั้งในส่วนของมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมจาก BOI มาตรการลดก๊าซเรือนกระจกจาก อบก. และการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon emission) ให้กับผู้ประกอบการจากโปรแกรม ITAP เพื่อขยายผลการส่งต่ออาหารส่วนเกินให้เกิดขึ้นทั้งประเทศอย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นเวทีระดมความคิดเห็นจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ต่อมาตรการส่งเสริมการบริจาคอาหารส่วนเกิน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่องมือ ภายใต้โครงการการจัดตั้งธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศ (Thailand’s Food Bank) ด้วยกัน 4 เรื่อง โดย 2 เรื่องแรกดำเนินการแล้วเสร็จคือ แนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยของอาหารบริจาค (Safety Guidelines for Food Donation) โดยไบโอเทค และส่วนที่ 2 เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับจับคู่ผู้บริจาคและผู้รับบริจาค โดยเนคเทค
ส่วนอีก 2 เรื่องที่กำลังดำเนินการคือ การจัดทำข้อมูลการลดการปล่อยคาร์บอนจากการบริจาคอาหาร เพื่อผลักดันและสนับสนุนมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ใน 2 โครงการคือ โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme) หรือ LESS และโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) หรือ T-VER โดยเป้าหมายปลายทางเพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิต จากการบริจาคอาหารได้ในอนาคต และเรื่องที่ 4 คือ การจัดทำข้อมูลเพื่อเสนอมาตรการส่งเสริมการบริจาคอาหาร ครอบคลุมทั้งสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีของผู้บริจาค และมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการบริจาคอาหารอย่างยั่งยืน
รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า เอ็มเทค เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ Thailand’s Food Bank ในด้านการจัดเตรียมฐานข้อมูลพื้นฐาน สำหรับข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอาหาร ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ทาง อบก. จะสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลเพื่อสนับสนุนมาตรการ LESS และ T-VER ต่อไป โดยโครงการจัดตั้งธนาคารอาหารนี้ นับเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
การประชุมกลุ่มย่อยครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสานพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างระบบและแนวทางการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินของประเทศไทย ในที่ประชุมมีการนำเสนอมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการบริจาคอาหาร ประกอบด้วย มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยคุณสาธาสินี คำไชย นักวิชาการส่งเสริมการลงทุนชำนาญการ ซึ่งได้ให้ข้อมูลขอบข่ายในการสนับสนุน ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ ได้แก่ ด้านเกษตรและระบบน้ำ ผลิตภัณฑ์ชุมชน สิ่งแวดล้อม ท่องเที่ยวชุมชน สาธารณสุข และการศึกษา
ขณะที่ มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการบริจาคอาหาร ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) โดย ดร.สาธิต เนียมสุวรรณ ผู้จัดการสำนักรับรองคาร์บอนเครดิต ได้หยิบยกตัวอย่างกิจกรรมที่ขอรับรอง LESS ได้ เช่น การคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล การกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า (EV) เป็นต้น
และส่วนสุดท้ายคือ กลไกสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยคาร์บอนของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. โดยคุณอภิรักษ์ วิเศษศรีพงษ์ ผู้จัดการงานอุตสาหกรรมวัสดุก้าวหน้า ซึ่งทาง ITAP จะสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ที่จะร่วมบริจาคอาหารส่วนเกินให้กับโครงการ ในการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon emission) เพื่อคำนวณคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานที่ อบก. กำหนด
“ประเด็นสำคัญในการประชุมกลุ่มย่อยครั้งนี้ ได้แก่ การกำหนดมาตรการจูงใจ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมอาหาร ธุรกิจร้านอาหารและที่เกี่ยวข้อง หันมาบริจาคอาหารส่วนเกินอย่างเป็นระบบ รวมถึงเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้สังคมเห็นถึงความสำคัญของการลดปริมาณอาหารส่วนเกิน และการนำอาหารส่วนเกินไปใช้ประโยชน์ โดยการจัดตั้งธนาคารอาหารแห่งชาติ จะถือเป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน และกระจายอาหารไปยังผู้ที่ต้องการ เป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของประเทศไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชากรกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง” ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบาย สวทช. หัวหน้าโครงการการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย กล่าวปิดท้าย