วช. เผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ประจำปี 2567 (สำรวจข้อมูลปี 2566) ย้ำชัดใช้นวัตกรรมหนุนการเติบโตประเทศ
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดงานแถลงข่าว “ผลการสำรวจข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ประจำปี 2567 (สำรวจข้อมูล ปี 2566)” โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.กรัณฑรัตน์ นาขวา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมให้ข้อมูลในประเด็น “นโยบายการขับเคลื่อน ววน. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” ณ ศูนย์สารสนเทศกลาง ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อาคาร วช. 8 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยประจำปี 2567 (สำรวจข้อมูลปี 2566) พบว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนารวม ทั้งสิ้น 168,10 ล้านบาท (ปี 2565 อยู่ที่ 201,415 ล้านบาท) มีอัตราเติบโตลดลงร้อยละ 16.5 เป็นค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชน 112,126 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23.4 (ปี 2565 อยู่ที่ 146,321 ล้านบาท) ในขณะที่ภาค อื่น ๆ (ภาครัฐบาล อุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) 55,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 (ปี 2565 อยู่ที่ 55,094 ล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วนภาคเอกชนต่อภาคอื่น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 67 : 33 ในปี 2566 ภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาลดลงอยู่ที่ 54,487 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 30 จากปี 2565) และภาคอุตสาหกรรมค้าส่ง/ค้าปลีก มีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาลดลงอยู่ที่ 20,665 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 37 จากปี 2565) แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมการบริการมีแนวโน้มเพิ่ม ในปี 2566 มีมูลค่า 36,973 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปี 2565) ไม่มาก ประกอบกับโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชน ที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาในสัดส่วนสูงกว่าภาคอุตสาหกรรมบริการและภาคอุตสาหกรรมค้าส่งค้าปลีก จึงทำให้การใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาภาคเอกชนโดยรวมลดลงมากในปีนี้
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาในสัดส่วนสูงสุด ประมาณร้อยละ 94 (105,617.95 ล้านบาท) ถัดมาอุตสาหกรรมขนาดกลาง ร้อยละ 5 (5,624.88 ล้านบาท) และอุตสาหกรรมขนาดย่อม ร้อยละ 1 (882.72 ล้านบาท) ตามลำดับ และพบว่าการใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาทุกขนาดอุตสาหกรรมลดลงเช่นกัน ผลจากการสำรวจยังพบว่า สาเหตุที่ภาคเอกชนลดค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา
(1) บริษัทมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดต้นทุน
(2) ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
(3) ในปีที่ผ่านมา บางบริษัทมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในเรื่องครุภัณฑ์ และห้องปฏิบัติการทดลอง จึงทำให้ในปี 2566 มีการลงทุนลดลง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า แนวโน้มการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสาขาอาหารแห่งอนาคต (Future Food) และการใช้สมุนไพรไทยเพื่อป้องกันโรค เช่น โควิด-19 รวมถึงการเพิ่มมูลค่าผลผลิตเกษตรเพื่อการพึ่งพาตนเองด้านการแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยที่นำอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น มาเสริมสร้างรายได้แก่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการประยุกต์ภูมิศาสตร์สังคมและเศรษฐกิจ (SociaV/Economic Geography) ด้านบุคลากรวิจัยและพัฒนา (R&D) พบว่า แม้จะได้รับผลกระทบไม่มาก แต่มีแนวโน้มผันผวนตามธรรมชาติ เช่น การเกษียณและนักวิจัยใหม่เข้ามาทดแทน ในปี 2566 มีบุคลากร R&D รายหัว 220,629 คน ลดลง (9%) และบุคลากร R&D (แบบ FTE) 150,081 คน-ปี ลดลง 9% โดยจำแนกเป็นนักวิจัย 114,169 คน-ปี (76%) ผู้ช่วยนักวิจัย 22,971 คน- ปี (15%) และผู้สนับสนุนงานวิจัย 12,941 คน-บี (9%) คิดเป็นสัดส่วน 23 คน-ปีต่อประชากร 10,000 คน ในจำนวนนี้อยู่ในภาคเอกชน 68% และภาคอื่น ๆ 32%
อย่างไรก็ตาม วช. เชื่อว่าแม้การใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนในปัจจุบันจะลดลง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น หากเศรษฐกิจของประเทศสามารถกลับมาขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุน ในด้านการวิจัยและพัฒนา ประกอบกับนโยบายของ กระทรวง อว. ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ถัดมาเป็นการเสวนาในประเด็น “นโยบายการขับเคลื่อน ววน. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.กรัณฑรัตน์ นาขวา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมให้ข้อมูลในประเด็นดังกล่าว
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ประจำปี 2567 (สำรวจข้อมูลปี 2566) พบว่า หากเศรษฐกิจประเทศกลับมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายรัฐที่ผลักดันการ นำผลงานวิจัยไปใช้จริงจะช่วยกระตุ้นให้ภาคเอกชนกลับมาลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาได้อย่างเข้มแข็งอีกครั้ง และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่ประเทศในระยะยาว